คำประกาศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ “หมดยุคที่อเมริกาจะถูกเอาเปรียบแล้ว” โดยล่าสุดได้ลงนามประกาศ “แผนการค้าที่เป็นธรรมและต่างตอบแทน” ( Fair and Reciprocal Plan)
ทั้งนี้อ้างเหตุผลเพื่อฟื้นฟูความเป็นธรรมในความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐอเมริกาและต่อต้านข้อตกลงการค้าที่ไม่ต่างตอบแทน มีเป้าหมายสำคัญเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ที่ข้อมูลล่าสุดในปี 2567 สหรัฐขาดดุลการค้าสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
ทำเนียบขาวได้ยกตัวอย่างภาษีนำเข้าที่สหรัฐเรียกเก็บจากประเทศคู่ค้าในอัตราต่ำกว่าที่ประเทศคู่ค้าเก็บจากสหรัฐที่มองว่าไม่เป็นธรรม เช่น ในสินค้าเอทานอลที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าอยู่ที่ 2.5% แต่บราซิลเก็บภาษีนำเข้าเอทานอลจากสหรัฐที่ 18% ภาษีสินค้าเกษตร สหรัฐเก็บที่ 5% แต่อินเดียเก็บจากสินค้าเกษตรสหรัฐเฉลี่ยที่ 39% ในสินค้ารถจักรยานยนต์ สหรัฐเก็บภาษีสินค้าจากอินเดียเพียง 2.4% แต่อินเดียเก็บจากสหรัฐสูงถึง 100% เป็นต้น
ภายใต้แผนใหม่นี้รัฐบาลสหรัฐจะตรวจสอบความสัมพันธ์ทางการค้าที่ไม่ต่างตอบแทนกับประเทศคู่ค้าทั้งหมด ครอบคลุมทั้งในเรื่องภาษีศุลกากร ภาษีที่ไม่เป็นธรรม อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และนโยบายที่บิดเบือนการค้า โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องทำรายงานเสนอมาตรการแก้ไข และสำนักงานบริหารและงบประมาณจะต้องประเมินผลกระทบภายใน 180 วัน
อีกทั้งมอบหมายให้ทีมเศรษฐกิจวางแผนเก็บภาษีตอบโต้กับทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งยังไม่ได้ระบุวันเวลาที่ชัดเชนว่าจะเริ่มเมื่อใด
อย่างไรก็ดีในส่วนของประเทศไทยสหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย ในปี 2567 ล่าสุด ไทยส่งออกไปสหรัฐ 54,956 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.92 ล้านล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วน 18% ของการส่งออกไทยไปทั่วโลก ขณะข้อมูลการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐของไทยในปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 10-15% ขณะที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยเฉลี่ย 2-5% (ข้อมูลไทยรวบรวมจาก Harmonized Tariff Schedule of Thailand และสหรัฐฯ รวบรวมมาจาก US Customs and Border Protection) ซึ่งสินค้าไทยมีความเสี่ยงจะถูกสหรัฐปรับขึ้นภาษีในอัตราเท่าเทียม จะส่งผลกระทบสินค้าไทยมีต้นทุนที่สูงขึ้น และต้องขายในราคาแพงขึ้น และจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐ
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เพื่อตั้งรับความเสี่ยงจากสหรัฐจะปรับขึ้นภาษีในอัตราเท่าเทียม สิ่งที่ต้องเร่งและดำเนินการให้เป็นรูปธรรมในส่วนของประเทศไทยคือ การจัดตั้งวอร์รูมรัฐ-เอกชน หรือใช้เวทีคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์(กรอ.พาณิชย์) เพื่อหารือ และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในการวางกลยุทธ์และนโยบายการค้าของประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว(Single Trade Policy) เพื่อรับมือกับนโยบายด้านภาษี และมาตรการที่มิใช่ภาษีของสหรัฐ
“เวลานี้รัฐบาลหรือกระทรวงพาณิชย์ยังไม่ได้ตั้งวอร์รูมอย่างเป็นทางการ ซึ่งหากมีการจัดตั้งและดึงภาคเอกชนเข้าร่วมวางแผนและกลยุทธ์ก็จะทำให้เกิดนโยบายการค้าที่เป็นหนึ่งเดียว ที่สำคัญคือต้องมาประชุมกันก่อน ส่วนจะมีแทกติกหรือกลยุทธ์อย่างไรค่อยมาว่ากัน เพราะทรัมป์มาไม่ธรรมดา ผมมองว่าเขามีกลยุทธ์ในการกำหนดนโยบาย เราก็ต้องรับมือแบบมีกลยุทธ์เหมือน”
ประธาน สรท.ได้ยกตัวอย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมจากทั่วโลก 25% เนื่องจากเป็นสินค้าสำคัญ เพราะเหล็กรวมถึงอลูมิเนียมคืออุตสาหกรรมต้นน้ำของอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตในหลายสินค้า เช่น ในอุตสาหกรรมยานยนต์ การก่อสร้าง การผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องยนต์ เครื่องจักรต่าง ๆ ซึ่งการเลือกขึ้นภาษีสินค้าทั้งสองรายการนี้ถือว่าไม่ธรรมดา และจะกระทบสินค้าเหล็ก และอลูมิเนียมที่ส่งเข้าไปยังสหรัฐพอสมควร
อย่างไรก็ดี ในส่วนสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐเวลานี้ในแง่ตัวสินค้า อัตราภาษี และเวลาที่สหรัฐจะปรับขึ้นภาษีทั่วไป หรือภาษีเท่าเทียมยังไม่มีความชัดเจน จึงมองว่ายังไม่กระทบการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐในไตรมาสแรกของปีนี้มากนัก แต่หากทุกอย่างมีความชัดเจนก็จะเริ่มส่งผลกระทบในระยะต่อไป
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่า “ภาษีเท่าเทียม” ตามความหมายก็คือ ต่อไปนี้สหรัฐจะไม่ให้แต้มต่อประเทศใดด้านภาษีเลย จากในอดีตเขาเก็บภาษีไม่เท่าเทียมกันเพราะส่วนหนึ่งประเทศที่เป็นมหาอำนาจ หรือประเทศที่ร่ำรวยแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะให้แต้มต่อด้านภาษีนำเข้ากับประเทศกำลังพัฒนา
“แต่ตอนนี้ทางสหรัฐอเมริกาโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีนโยบาย Make America Great Again เขาจะไม่ให้แต้มต่อใครแล้ว ไม่สนแล้ว ไม่ใช้เกณฑ์เดิม แต่จะใช้ความเท่าเทียม หรือความเสมอภาค ซึ่งเราคงจะต้องปรับตัว ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออกก็ต้องปรับตัว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะเราไม่ใช่เป็นฝ่ายเรียกร้อง แต่เขาจะมาบังคับเรา คุณคิดภาษีเขาถูก เขาก็จะคิดภาษีคุณถูก คุณคิดแพง เขาก็จะคิดคุณแพง คือเขาไม่ให้แต้มต่อแล้ว”
ดังนั้น สิ่งที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ คือต้องพยายามหาตลาดใหม่ ๆ กระจายสินค้าไปยังตลาดอื่น ๆ เพิ่มเติมให้มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐให้น้อยลง และเพื่อรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐที่เปลี่ยนไป รวมถึงการตั้งวอร์รูม และการหาล็อบบี้ยิสต์เก่ง ๆ เพื่อเจรจาต่อรองกับสหรัฐในระยะสั้นนี้ เพื่อลดผลกระทบ